ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก รามเกียรติ์ ที่ถูกนำเอามาดัดแปลงเป็นทั้งละคร หนังสือการ์ตูน และหนังอีกมากมาย แต่ว่าคงไม่เคยมีใครเห็น รามเกียรติ์ แบบที่อนิเมชั่นไทยเรื่อง ยักษ์ นี่ได้สร้างขึ้นมาแน่ เพราะตัวอนิเมชั่นเป็นการตีความ รามเกียรติ์ ในรูปแบบของ หุ่นยนต์ ที่มีอารมณ์คล้ายความเป็นการ์ตูนฮอลลีวู้ด
หลังสงครามอันยิ่งใหญ่จบลงแบบล้างเผ่าพันธุ์ปล่อยทิ้งให้สนามรบกลายเป็น เพียงสุสานซาก เศษโลหะและเป็นขุมทรัพย์ให้กับบรรดาหุ่นค้าของเก่า และแล้วเรื่องราวมิตรภาพของเจ้าหุ่นยนต์ 2 ตัวก็ได้เริ่มต้นขึ้นในอีกหลายล้านวันต่อมา เจ้าหุ่นตัวหนึ่งใหญ่ยักษ์สมร่างชื่อ “น้าเขียว” บ่งบอกตามลักษณะสีอันเป็นเอกลักษณ์ ดูน่าเกรงขาม กับ “เจ้าเผือก” หุ่นกระป๋องมินิตัวเล็กประเมินจากสภาพจากพวกค้าหุ่นยนต์เก่าบอกได้คำเดียว ว่าไร้ราคา แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าหุ่น 2 ตัวต่างตื่นขึ้นมาจากการถูกขุดขึ้นพร้อมกับ สภาวะหน่วยความจำเสื่อม ไม่จำอดีตไม่รู้อนาคต แถมยังมีโซ่พิเศษที่ตัดเท่าไหร่ก็ตัดไม่ขาด จนทั้งคู่สนิทกันมา
ยักษ์ เป็นอนิเมชั่นผลงานการกำกับเรื่องแรกของผู้กำกับ ประภาส ชลศรานนท์ โดยเขาเป็นทั้งคนคิด ออกแบบ และสร้างสรรค์ตัวละครเองทั้ง ที่ใครหลายคนคงรู้จักผู้กำกับคนนี่ดีจากด้านของงานเพลง หนังสือ รวมไปทั้งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เวิร์คพอยท์ อีกด้วย โดยเอาเข้าจริงๆถ้าหากเราดูจากหน้าหนังในทีแรกกับเรื่อง ยักษ์ ถ้าให้บอกว่าเป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกจากผู้กำกับ ใครหลายคนก็คงจะไม่เชื่อกันอย่างแน่นอน เพราะทั้งตัวอนิเมชั่น คาแรกเตอร์ และกราฟฟิค ก็ต่างบ่งบอกถึงสไตล์ความเป็นมืออาชีพ และ ฮอลลีวู้ด อยู่มากพอสมควร และนั่นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดใน ยักษ์ เลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่พูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นข้อดีของยักษ์นั้นคือด้านของ ไอเดีย และ ความคิดสร้างสรรค์ ที่นำเอาตัวละครในวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ มาดัดแปลงเป็นเหล่าหุ่นกระป๋องทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาพระอาทิตย์ที่เรารู้จักกันดี ไปเป็นลูกโลหะกลมๆที่วิ่งได้บนรางรถไฟ หรือแม้แต่การตีความตัวละคร ทศกัณฐ์ , หนุมาน หรือแม้แต่ กุมภกรรณ ออกมาใหม่เสียหมดให้กลายเป็นหุ่นยนต์ ไม่เว้นแม้แต่ พระราม ที่ดัดแปลงกลายเป็น แรม คอมพิวเตอร์ควบคุมใหญ่ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด และ ภาพด้านกราฟฟิค ที่ออกมาค่อนข้างสวยงามไม่แพ้ฮอลลีวู้ด หนำซ้ำการที่หนังผสมผสานไปด้วยฉากการร้องเพลงที่ช่วงนี้กำลังฮิตอยู่ในอนิเม ชั่นแทบทุกเรื่อง และ การขายไอเดียการที่นำเอา รามเกียรติ์ มาตีความใหม่ ก็ทำให้ ยักษ์ นั่นเป็นอนิเมชั่นที่ไร้พิษภัย และ มีความสนุกของตัวเรื่องอยู่ในระดับปานกลางเลยทีเดียวนะ
แต่ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันเมื่อสิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าดีสำหรับ ยักษ์ กลับมีเพียงด้านของ การออกแบบตัวละคร และ การตีความเรื่อง รามเกียรติ์ ใหม่เท่านั้น เพราะนอกจากนั้นแล้วหนังกลับเต็มไปด้วย ช่องโหว่ ที่หนังเปิดกว้างจนทำให้คนดูจับได้อยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะด้านของเรื่องที่หนังจะขายอย่าง มิตรภาพ เพราะหนังเอาเวลาซะส่วนใหญ่มาดันเรื่องของ มิตรภาพ มากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการใส่ฉาก ประโยค หรือการกระทำ ทั้งหลาย จนทำให้ท้ายสุดนั้นมันจึงกลับกลายเป็นว่าตัวหนัง ยัดเยียด มากกว่าจะพูดได้ว่า กลมกล่อม
จนทำให้ท้ายสุดแล้ว ยักษ์ มันจึงกลายเป็นอนิเมชั่นขายไอเดียของคนไทย ที่มีความสนุกออกมาระดับปานกลาง แต่กลับล้มเหลวด้านการที่หนังพยายามจะตีความเรื่อง มิตรภาพ และอีกหลายๆสิ่งให้กับคนดูครับ
ป.ล. สำหรับอนิเมชั่น ยักษ์ นั้น ตอนเข้าฉายจะมีให้เลือกทั้ง พากย์ไทย และ พากย์อังกฤษ ซับไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอนิเมชั่นที่โกอินเตอร์มากๆ ที่มีทั้ง 2 เสียงให้คนดูได้เลือกชมกัน ซึ่งตอนที่ผมได้ดูนั่นเป็น พากย์ไทย นะ ซึ่งความเห็นของผมต่อ พากย์ไทย นั้นก็ถือว่าออกมาดีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์ น้าเขียว , เผือก หรือ บรู๊ค ที่พากย์โดย โน้ส อุดม ก็ต่างเป็นสีสันอีกตัวนึงของเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นแล้วแต่ผู้อ่านจะเลือกเลยว่าจะลอง พากย์ไทย หรือ พากย์อังกฤษ (ที่ไม่รู้มุกจะฮาเหมือนไทยไหม) ดีกว่ากันหละครับ
เรื่องนี้ผมให้ 6/10 ครับ
ที่มา : movie.mthai
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.