ล้งทุเรียนชาวบ้านแห่งแรก ชดต. บ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต) ต้นแบบสานพลังความรู้-หลักศาสนาเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม

103

บพท.รุกสานต่อการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย พัฒนาคน พัฒนาพื้นที่ในชายแดนใต้ ผนึกกำลังสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา ต่อยอดองค์ความรู้พัฒนาคุณภาพผลผลิตทุเรียน ยกระดับ “วิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต)” สร้างโมเดลต้นแบบบริหารจัดการทุเรียนอย่างครบวงจร เป็นล้งชาวบ้านแห่งแรก

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เปิดเผยว่า หน่วย บพท. ได้ใช้ชุดความรู้จากงานวิจัย ตลอดจนกระบวนการวิจัยที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และบริบทพื้นที่เข้าไปสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทุเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ ควบคู่ไปกับการเสริมพลังให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนรวมกลุ่มกันในลักษณะเครือข่ายเป็นวิสาหกิจชุมชน เชื่อมโยงกับกลไกรัฐ และกลไกธุรกิจ ส่งผลให้ทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะที่จ.ยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกทุเรียนมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกจังหวัดชายแดนใต้

“ทุกวันนี้ชุดความรู้จากงานวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตทุเรียน ซึ่ง บพท. ให้การสนับสนุน และพลังจากภาคีความร่วมมือหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) และสภาเกษตร ทำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียน สามารถขายทุเรียนได้ราคาดีขึ้นมาก มีความมั่นคงทางอาชีพ”
ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวต่อไปว่า ผลพลอยได้จากชุดความรู้ในการพัฒนาคุณภาพและผลผลิตทุเรียน มีส่วนอย่างสำคัญต่อการสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เพิ่มโอกาสแก่เกษตรกรในการมีรายได้เพิ่มขึ้น

“บพท. ยังจะช่วยเสริมพลังแก่วิสาหกิจชุมชนชาวสวนทุเรียน โดยเฉพาะวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ(ธารโต) ด้วยการยกระดับการพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และเสริมขีดความสามารถแก่เกษตรกรในการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้”
นายมะเสาวดี ไสสากา หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา กล่าวว่า สภาเกษตรกรจังหวัดยะลา และเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในพื้นที่ ได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย ที่ บพท. ให้การสนับสนุน ผสมผสานกับหลักการทางศาสนาอิสลาม ไปพัฒนาศักยภาพแก่เกษตรกรชาวสวนทุเรียนอย่างได้ผล ทำให้ผลผลิตทุเรียนมีคุณภาพดีขึ้น ขายได้ราคามากขึ้น และเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ

“ความรู้ในการพัฒนาคุณภาพทุเรียน ความรู้ในการเก็บและใช้ข้อมูลสำหรับการวางแผน ตลอดจนความรู้ในการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งเป็นส่วนที่ บพท. ให้คำแนะนำ จะนำมาประยุกต์เข้ากับหลักศาสนาอิสลาม 5 ประการได้แก่

  1. ”อามานะ” คือความรับผิดชอบต่อโลกและเพื่อนมนุษย์
  2. ”ชูรอ”คือการปรึกษาหารือร่วมกัน
  3. ”นาซีฮัต” คือการตักเตือนซึ่งกันและกัน
  4. ”มูฮาซาบะห์” คือการตรวจสอบติดตามประเมินผล
  5. ”ญามาอะห์”คือการรวมหมู่ ซึ่งนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพแก่เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ให้ร่วมกันผลิตทุเรียนที่ดีต่อโลกและดีต่อเพื่อนมนุษย์”

ผลของการพัฒนาคุณภาพทุเรียนทำให้เกษตรกรขายทุเรียนคุณภาพ ได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่าตัว จากเดิม 50 บาท/กก. เป็น 100-150 บาท/กก. ในปัจจุบัน มีผลผลิตเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณด้วยเฉลี่ย 470-500 ก.ก./ไร่ โดยมีปริมาณรับซื้อและส่งจำหน่ายรวม 3,000 ตัน ในปี 2565

การรวมตัวเป็นกลุ่มของเกษตรกรในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน การใช้กระบวนการกลุ่ม ระบบการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าทางการตลาดในการจำหน่ายทุเรียน สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทุเรียนโดยใช้แนวคิดการบูรณาการร่วมระหว่างห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่มูลค่า โดยมี “วิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต)” เป็นศูนย์กลาง จากกลุ่มเล็กๆ ที่ต่างคนต่างทำ ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกกลุ่มทั้งสิ้น 398 รายใน 11 ชุมชน มีเครือข่าย 20 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ ในจังหวัดยะลา ได้แก่ธารโต เบตง บันนังสตา กรงปินัง รามัน และอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่ปลูกรวมกัน 6,000 ไร่

ภายใต้กระบวนการจัดการทุเรียนคุณภาพของวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ มุ่งเน้นการทำทุเรียนเพื่อส่งออกในนามทุเรียนยะลา สามารถสร้างทุเรียนหนามเขียว ซึ่งเป็นผลผลิตเด่นของยะลา ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ส่งออก สามารถส่งออกไปจีนได้ 27 ตู้คอนเทนเนอร์ สร้างรายได้ 300 ล้านบาท ในปี 2565
นายสุไลมาน ราแดง ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “กลุ่มทุเรียนหนามเขียวยะลา” บอกถึงความรู้สึกภาคภูมิใจจากวันแรกที่เริ่มต้นจากศูนย์ ล้มลุกคลุกคลานและพัฒนาตนเองมาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ

“ด้วยกำลังมือของพวกเราและเพื่อนๆ เกษตรกรช่วยกันผลักดันพัฒนาทุเรียนบ้านเราให้มีคุณภาพ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมให้ความรู้เสริมสร้างทักษะแก่เกษตรกร และคอยหาทางออกให้เสมอมา เราเป็นกลุ่มเกษตรกรต้นแบบที่มีการพัฒนาอย่างครบถ้วน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีการบริหารจัดการแบบครบวงจร นอกจากจะเป็นผู้ปลูกแล้ว ทางกลุ่มยังได้มีการร่วมลงทุนของสมาชิกเปิดตลาดกลางรับซื้อทุเรียน การรวบรวมและการกระจายผลผลิตทุเรียนทุกเกรดจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป ทั้งทุเรียนเกรด ABC ทุเรียนตกไซส์ หรือแม้กระทั่งทุเรียนมีหนอนรู(รูแบ) ซึ่งมีกระบวนการจัดการนำมาแกะเนื้อทำเป็นทุเรียนแช่แข็ง เพิ่มมูลค่าทุเรียน โดยกลุ่มมีห้องเย็นเป็นของตัวเอง ใช้เงินลงทุน 20 ล้านบาท ถือเป็นห้องเย็นแห่งแรกของจังหวัดยะลาที่มีเป็นกลุ่มเกษตรกรเป็นเจ้าของลงทุนเอง นอกเหนือจากห้องเย็นที่ภาครัฐและผู้ประกอบการเป็นผู้ลงทุน”

ทั้งนี้ในปี 2564 เป็นปีแรกของการจัดตั้งจุดรวบรวมคัดแยกทุเรียน หรือล้ง ของกลุ่มทุเรียนหนามเขียว กลุ่มมีผลผลิตประมาณจำนวน 3,000 ตัน ราคา 120 บาท/กิโล คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 360,000,000 บาท ปี 2565 ศอ.บต. ได้สนับสนุนฐานเครื่องชั่งรถบรรทุกและห้องคุมเครื่องชั่งการยกระดับวิสาหกิจชุมชนเพิ่มมูลค่าของผลผลิตลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้เกษตรกรที่มั่นคง และยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์สำหรับฐานของแท่นชั่งรถบรรทุก และห้องคุมเครื่องชั่ง กลุ่มทุเรียนหนามเขียวมีผลผลิตประมาณ จำนวน 2,500 ตัน ราคา 150บาท/กิโล คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 375,000,000 บาท และปี 2566 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลผลิตทุเรียน จำนวน 122,853 ตัน โดยจังหวัดยะลามีผลผลิตทุเรียนราว 76,000 ตัน ในปี 2566 กลุ่มฯ มีผลผลิตเข้าวันละ 50-70 ตัน โดยคาดการว่าผลผลิตของกลุ่มจะมากกว่า 4,000 ตัน ราคา 120 บาท/กิโล คิดเป็นมูลค่าส่งออก 480,000,000 บาท

ผลมาจากการที่เกษตรกรเห็นโอกาสในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจใหม่และการต่อยอดธุรกิจเดิม ยกระดับการบริหารจัดการ สร้างมูลค่า และคุณภาพ โดยการเพิ่มมาตรฐานการผลิต GAP มาตรฐาน GMP เกิดการเชื่อมโยงด้านการตลาดทุเรียนทั้งในและต่างประเทศ ยังมีการเชื่อมโยงพันธมิตรทางการค้าการลงทุน เพื่อ ส่งต่อไปยังตลาดคุณภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร สำหรับปี 2566 จะมีปริมาณผลผลิต 5,000 ตันหรือ 5 ล้าน ก.ก. มูลค่า 750 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2565 ประมาณ 43% และในอนาคตมีการวางแผนว่า จะขยายสมาชิกเครือข่ายกลุ่มผลิตทุเรียนคุณภาพ เพิ่มอีก 4,000 ไร่ ภายในปี 2570 โดยเป้าหมายของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ คือ พัฒนาทุเรียนคุณภาพยะลาทั้งจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนสะเด็ดน้ำ ซึ่งเป็นสินค้า GI ของจังหวัดยะลา ที่สามารถทำราคาเพิ่มได้ดี

ขณะที่ นายซาวาวี ปูลา ผู้บริหารการตลาดและนโยบาย วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทุเรียนหนามเขียว เปิดเผยว่า กลุ่มทุเรียนหนามเขียวเกิดจากการบริหารงานของคนในพื้นที่ที่มีใจรักทุเรียนและมีเป้าหมายที่จะพัฒนาทุเรียนให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นและสามารถส่งออกต่างประเทศได้ไม่เสียหายหรือขาดทุน มีการคัดเกณฑ์ที่ได้มาตรฐาน A B C D ตามความเหมาะสมของผลผลิตที่มีคุณภาพ ทำให้เป็นที่ยอมรับและชื่นชอบของผู้บริโภคที่สัมผัสได้ถึงรสชาติเฉพาะของทุเรียนยะลา  “มีสวนทุเรียน 15 ไร่ 270 ต้นที่เก็บได้ เมื่อก่อนมีรายได้ไม่มากเพราะดูแลไปตามมีตามเกิด หนอนไชหมด ไม่ได้ราคา เริ่มเข้ารวมกลุ่มเมื่อปีที่แล้ว ลูกน้อยได้ 300,000 บาท ปีนี้ได้ 1,000,000 กว่าบาท แล้ว อยู่ที่อากาศ การดูแล ตัดไป 1.6 ตัน มีหนอนแค่ 2 ลูก รายได้จูงใจให้ทำตามระบบที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค แล้วรายได้เพิ่มแบบก้าวกระโดด ได้จับเงินล้านแล้ว” นายแวอิบรอเฮม เฮาะเด็ง เจ้าของสวนทุเรียน สมาชิกอึกคนของกลุ่มฯ บอกความรู้สึกของการรวมกลุ่มและมีรายได้เพิ่มจากสวนทุเรียน

เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น สามารถยืนได้ด้วยตนเองจากทุเรียนที่เชื่อว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างมหาศาล ดังนั้นกระบวนการหนุนเสริมแบบพึ่งพาตนเองคือคำตอบของความมั่นคงและยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานรากตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง

แสดงความคิดเห็น

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.