กสศ.ร่วมธนาคารโลก ถอดบทเรียนการพัฒนาทักษะทุนชีวิตต่างประเทศ และตัวอย่างการขับเคลื่อนระดับท้องถิ่น 3 จังหวัดของไทย
กสศ. ร่วมกับ ธนาคารโลก และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยน กรณีศึกษาความร่วมมือการพัฒนาทักษะทุนชีวิตในสังคมแห่งการเรียนรู้จากต่างประเทศ และการพัฒนาทักษะทุนชีวิตไทย หลังพบผลสำรวจแรงงานไทยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ มีทักษะทุนชีวิตด้านการอ่าน ด้านดิจิทัล ด้านอารมณ์และสังคมไม่ถึงเกณฑ์
ณ ห้องประชุม เวิลด์ บอลรูม บี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ ธนาคารโลก (World Bank) และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดเวทีการขับเคลื่อนทักษะทุนชีวิตในระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อแลกเปลี่ยน กรณีศึกษาความร่วมมือการพัฒนาทักษะทุนชีวิตในสังคมแห่งการเรียนรู้จากเมืองโบโกต้า ประเทศโคลัมเบีย และนำเสนอการขับเคลื่อนพัฒนาทักษะทุนชีวิตจาก 3 จังหวัด คือ ระยอง พะเยา และปัตตานี ที่มีบริบทพื้นที่ต่างกัน
นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า โครงการสำรวจทักษะและความพร้อมของเยาวชนและแรงงานที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความร่วมมือของ ธนาคารโลก ม.ธรรมศาสตร์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และ กสศ. ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2564 ศึกษาการพัฒนาทักษะทุนชีวิต 3 ด้าน คือ การอ่านออกเขียนได้ ทักษะทางดิจิทัล และทักษะอารมณ์และสังคม ในช่วงอายุ 15-64 ปี 7,300 คนทั่วประเทศ เป็นการศึกษาของไทยครั้งแรกที่มีความเป็นสากล ครอบคลุมในการอธิบายประชากรทั้งหมดของประเทศ หรือเทียบเคียงกับ PISA ที่ศึกษาประชากรนักเรียน พบว่า เยาวชนและประชากรวัยแรงงาน “ขาดทักษะทุนชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์” ทำให้เกิดความท้าทายในการทำงานในช่วงก้าวสู่ศตวรรษที่ 21
“กลุ่มประชากรที่ทำการสำรวจและพบอุปสรรคอย่างมาก คือ กลุ่มผู้สูงอายุ ที่อาจจะไม่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา กระจุกตัวในชนบท และอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ กิจกรรมนี้ต่อเนื่องจากงานวิจัย นำไปสู่การเตรียมคน เตรียมความพร้อมในการพัฒนาทักษะ ในพื้นที่ระดับท้องถิ่น” นายพัฒนะพงษ์ นางมาเรีย วิคตอเรีย แองกูโล (Ms. Maria Victoria Angulo) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการการศึกษาเมืองโบโกต้า ประเทศโคลัมเบีย นำเสนอบทเรียนทางการศึกษาโบโกต้า สู่การปรับใช้ในประเทศไทยว่า หัวใจสำคัญของโบโกต้าให้ความสำคัญต่อการศึกษา ความสุข และท้องถิ่น การศึกษาช่วยพัฒนาคนและเมือง โดยมีการวางแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี รับฟังเสียงจาก ครู นักเรียน เพื่อนำไปพัฒนากิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ร่วมกัน เช่น ห้องสมุด สวนสาธารณะ โดยมีรูปแบบการทำงานสำคัญ เช่น การดูแลเด็กแบบครบวงจร สิ่งแวดล้อมเพื่อการมีความเป็นอยู่ ชีวิตที่ดี สิ่งที่โบโกต้าดำเนินการคือ เส้นทางการดูแลเด็กปฐมวัยแบบครบวงจร โครงการสิ่งแวดล้อมโรงเรียนเพื่อชีวิตและการอยู่ร่วมกัน มีศูนย์นวัตกรรมครูแห่งแรก มีโปรแกรมร่วมกับธนาคารโลก Emotions for Life “อารมณ์เพื่อชีวิต” การออกแบบโปรแกรมการให้อาหารในโรงเรียนเป็นโปรแกรมเพื่อสุขภาพ การปฏิวัติโรงเรียน โดยการสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น มีการจัดการเรียนเสริม เช่น กีฬาและศิลปะ เป็นต้น
“โปรแกรมเหล่านี้มาจากการตัดสินใจร่วมกันในท้องถิ่น เพื่อส่งต่อเป็นนโยบายในระดับท้องถิ่นได้ โครงการที่มีประโยชน์ต่อท้องถิ่นไทย คือ การศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยที่มีคุณภาพ และสร้างการออกแบบในการประเมินการศึกษา การอบรมครู และการสร้างโมเดลที่ทำให้เกิดผลเชิงบวกในการศึกษาได้ โดยรัฐบาลระดับชาติจำเป็นต้องดำเนินงานในระดับท้องถิ่น” นางมาเรีย กล่าว
นายมนตรี ชนะชัยวิบูลวัฒน์ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง กล่าวว่า ระยอง เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ เป็นแหล่งงาน การเตรียมคนเป็นหน้าที่ของอบจ. ยินดีที่อย่างยิ่งที่ กสศ. และธนาคารโลกมาสนับสนุน นำความรู้จากต่างประเทศมาให้ปรับใช้สำหรับพัฒนาลูกหลานที่จะนำไปสู่การทำงานในพื้นที่ในอนาคต การพัฒนาคนของ จังหวัดระยอง ทางด้านการศึกษา ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีก่อน ได้เปลี่ยนที่ดินราชทัณฑ์เดิมมาเป็นโรงเรียนที่ให้โอกาสนักเรียนที่หลุดจากโรงเรียนดังของจังหวัด และพ่อแม่ผู้ปกครองที่ฐานะยากจน ผ่อนส่งค่าเล่าเรียนได้ มีกองทุน มีมูลนิธิสนับสนุนนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน สามารถส่งเด็กเรียนจบสาขาวิชาชีพต่างๆ ได้จำนวนมาก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สร้างคนคุณภาพ รองรับสายงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
“ปัจจุบันพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นแหล่งของนักลงทุน จังหวัดได้ทุ่มงบประมาณ 713 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการศึกษา โดยสร้างสถานศึกษา 5 แห่งเป็นโรงเรียนนวัตกรรมทางการศึกษา ที่ดึงเครือข่ายเอกชน ภาคประชาชนมาสนับสนุน โดยมียุทธศาสตร์ คือ การสร้างการศึกษา ที่มีการเรียนในเรื่องการเป็นพลเมืองดี ทักษะภาษาไทย อังกฤษ จีน ภาษาคอมพิวเตอร์ กีฬา และดนตรี พร้อมเปิดพื้นที่การแสดงออก สร้างงาน สร้างอาชีพด้วย หัวใจสำคัญคือปัจจัยความสำเร็จ คือการมีพันธมิตร ภาคเอกชนที่มีความพร้อมช่วยสนับสนุน และขับเคลื่อนทำงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทักษะทุนชีวิต คือความยั่งยืน ประเทศต้องการนักเรียนอาชีวะมากขึ้น 10 เท่า การศึกษาที่นำอารมณ์ของนักศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นหัวใจที่ทำให้เราพัฒนาทักษะด้วยการศึกษา หากทุกฝ่ายร่วมกัน เราจะสร้างความยั่งยืนได้”
ด้าน นายโชคดี สกุลกวีพร ผู้อำนวยการกองการศึกษาเทศบาลเมืองพะเยา กล่าวว่า พะเยา เป็นท้องถิ่นเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมาก ทักษะทุนชีวิตเป็นนโยบายหลักของพะเยา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการเตรียมความพร้อม จังหวัดมีนโยบายจัดการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน ทั้งในและนอกระบบโรงเรียน และจากผลสำรวจที่น่าเป็นห่วง คือ ทักษะการอ่านออกเขียนได้ของภาคเหนือที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้เเน้นการพัฒนาตั้งแต่เด็กปฐมวัย เน้นทักษะการฟังให้เด็กเล็ก เมื่อฟังจะเกิดเป็นจินตนาการ และนำไปสู่เรื่องการเขียน เมื่อเด็กมีความพร้อมจะส่งเข้าสู่ระบบการศึกษา นอกจากการอ่านได้ต้องสอนให้สามารถสะกดคำและอ่านเข้าใจความหมายด้วย เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เพิ่มทักษะการวิเคราะห์ด้วย เพราะภาษาไทยเป็นพื้นฐานของทุกศาสตร์ ขณะที่ทักษะด้านดิจิทัล ได้ส่งเสริมให้ สอนเด็กเรียน Coding มีหุ่นยนต์ในการฝึกเขียนคำสั่งสำหรับเด็กเพื่อให้เขามีพื้นฐาน
“ไโรงเรียนเทศบาลเมืองพะเยาให้โอกาสผู้คนทุกชั้น ไม่มีการคัดเลือก ใครข้ามาเรียนเรารับหมด เพราะเรามีโอกาสในการพัฒนาลูกหลาน ที่เสริมการเรียนทักษะดิจิทัล ทักษะภาษาอังกฤษ จีน การศึกษานอกระบบ ที่มีม.พะเยา ร่วมจัดทำหลักสูตรกับ สกร. มีหลักสูตรระยะสั้นตามความสนใจของประชาชน เช่น การประดิษฐ์สิ่งของ การเป็นยูทูบเบอร์ ซึ่งจะมีไปประกาศรับรองที่เทียบเกรดกับม.พะเยา ได้” นายโชคดี กล่าว
ด้าน นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า สิ่งที่ทำมีความแตกต่างด้วยบริบทของพื้นที่ โดยใช้ต้นทุนที่มีในพื้นที่ 3 จังหวัด ด้วยหลักคิดเรียบเรียงคำว่า “ทักษะทุนชีวิต” เป็น “ชีวิต ทุน ทักษะ” กล่าวคือ ต้องให้ความสำคัญกับการมีชีวิตก่อน เมื่อมีทุนมาส่งเสริมจะช่วยให้เกิดเป็นทักษะ ซึ่งการศึกษาในพื้นที่ภาคใต้จะแตกต่างจากพื้นที่อื่น คือมีทั้ง “สามัญ” และ “ศาสนา” ในทุกระดับชั้นการศึกษา จะมีหลักสูตรทางศาสนาเข้ามาในชั้นเรียน เรียกว่าเป็น “การสร้างชีวิต” โดยในวงจรการศึกษา คือ เริ่มตั้งแต่การ “อุ้มท้อง” จำเป็นต้องให้ความรู้ในการดูแลตั้งแต่ในท้อง เพื่อให้เด็กที่เกิดมามีความแข็งแรงและพร้อม เติบโตขึ้นมาเรียนรู้วิชาชีวิต
“เราสนับสนุนจัดระบบการศึกษาที่มี ศาสนา และ สามัญ เราสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กของเรา เมื่อเขาประสบความสำเร็จ จะทำให้เกิดความยั่งยืน ให้เด็กค้นหาตัวตนได้ก่อน เมื่อเรียนปริญญาตรีมาแล้ว มากองอยู่ไม่มีงานทำ เพราะเราสร้างการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ รวมทั้งการปรับทัศนคติพ่อแม่ ที่มุ่งว่าอยากให้ลูกเป็นข้าราชการ โดยไม่ถามและดูศักยภาพลูก ควรส่งเสริมให้เด็กกลับมาทำงานที่บ้านเกิดและการส่งไม้ต่อทางการศึกษานั้นสำคัญมาก ต้องบูรณาการในการรับไม้-ต่อส่งไม้ และส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเด็กดี เด็กเก่ง และสำเร็จในอาชีพ อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม” นายเศรษฐ์
นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. กล่าวถึงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้สะท้อนประเด็นการพัฒนาทักษะทุนชีวิตในระดับจังหวัดว่า ปัจจุบันกว่า 40 ประเทศทั่วโลกทำการศึกษาวิจัยในด้านนี้ เป็นครั้งแรกที่มีการสำรวจของไทย โดย 3 ทักษะที่สำคัญ คือ ทักษะรู้หนังสือทักษะดิจิทัล และทักษะทางด้านอารมณ์ โดยเฉพาะการรู้หนังสือ เป็นปัญหาที่ลงลึกไปถึงผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างการอ่านฉลากยา นับว่าเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญต่อการมีอาชีพและใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนทักษะดิจิทัล เช่น การซื้อของออนไลน์ การรับสวัสดิการของรัฐ พบว่าในแรงงานกลุ่มเปราะบางไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ ขณะที่ทักษะด้านอารมณ์และสังคม ก็ได้รับเสียงสะท้อนมาว่า แรงงานขาดทักษะเรื่องการคิดวิเคราะห์ จัดการอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วม โดยพบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานไทย มีทักษะที่ไม่ถึงเกณฑ์ใน 3 ด้านนี้ เกิดความเสียหายทางมูลค่าเศรษฐกิจระดับประเทศถึง 1 ใน 5 ของจีดีพี ส่วนในระดับบุคคล พบว่า คนที่ผ่านเกณฑ์กับคนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ มีรายได้ต่างกันเฉลี่ยสูงถึง 6,700 บาทต่อเดือน อีกกลุ่มคือ คนที่อยู่นอกระบบการศึกษา และแรงงานนอกระบบ กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของประชาการ ทำให้ประกอบอาชีพที่ดีขึ้น และเพื่อยกระดับรายได้
“การทำงานที่สำคัญ คือ การมองลงไปที่ระดับพื้นที่หรือท้องถิ่น ที่จะทำงานไปด้วยกัน บอกว่าแรงงานกลุ่มไหนทักษะอ่อน กลุ่มไหนเปราะบาง เพื่อให้การพัฒนาทักษะทำได้แบบเจาะกลุ่ม ไม่ใช่การหว่านแห ทั้ง 3 จังหวัด มีเป้าหมายในการทำงานนี้ เช่น ระยอง แสดงเห็นความพร้อมของแรงงาน มีขีดความสามารถ เป็นตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นว่าพื้นที่มีความพร้อม พะเยา มีศักยภาพท่ามกลางบริบทที่แตกต่าง แต่มีวิสัยทัศน์ในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ และปัตตานี เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้คนทุกกลุ่ม ตอนนี้เรามีข้อมูลสถานการณ์ให้แล้ว และยังมีกองทุนของจังหวัดในการดำเนินการ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างแนวทางที่เราจะเดินหน้าต่อไปด้วยกัน” นางสาวธันว์ธิดา กล่าว
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.