วิญญาณแม่

22

วิญญาณแม่

“พัชรา” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอบพิเศษ ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงเลย ดังนั้น จึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่จบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยดี ไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอบก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น…ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคน โดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

ครูติ๊กเป็นครูที่หวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวละก็ ห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย! วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่า ถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

ทันใดนั้น ดิฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผมดัดสั้นพองฟู สวมชุดทำงานแบบราชการ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้ปกครอง เธอนั่งเพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เราต้องเดินผ่านเธอในระยะใกล้ และขณะที่กำลังจะถึงตัวเธอ ครูติ๊กก็สะดุ้งโหยง ชะงักฝีเท้าอย่างตกใจ สีหน้าเหมือนถูกผีหลอก ปากสั่นระริก ดิฉันนึกว่าเธอตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นผู้ปกครองมานั่งอยู่อย่างนั้น

“คุณแม่ยังไม่กลับหรือคะ? ลูกอยู่ไหนล่ะคะ?” ดิฉันถามแต่ครูติ๊กกระตุกมืออย่างแรง เธอหลับตาปี๋แล้วฉุดดิฉันรีบเดินจนแทบวิ่ง มีอาการสติแตก ร้องหวีดแล้ววิ่งเตลิดไปถึงหน้าประตูแล้วล้มลงกองกับพื้นถนน…

คุณพระช่วย! ครูติ๊กหายใจหอบและเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังละล่ำละลักให้ดิฉันรีบเรียกแท็กซี่ ดิฉันประคองเธอลุกขึ้น พอดีแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง…ไม่ช้าเราก็นั่งรถออกจากหน้าโรงเรียน อาการครูติ๊กค่อยดีขึ้นหน่อย เธอขอให้ดิฉันตามไปส่งถึงบ้าน ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

เมื่อถึงบ้านครูติ๊ก เธอกินยาลมและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้ฟัง “ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน! เขาตายแล้ว…” ครูติ๊กเสียงระโหยเต็มที่…

เรื่องมีอยู่ เธอผู้นั้นเป็นคุณแม่ของเด็กนักเรียนชั้น ป.6 เมื่อสองปีก่อน เด็กคนนี้มีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่แยกกัน เด็กซึมเศร้า ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ครูติ๊กจึงเชิญเธอมาในเย็นวันหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องนี้ แต่เธอถูกรถชนตายคาที่ ครูติ๊กจึงรู้สึกผิดมาตลอด… ถ้าไม่ใช่เพราะเชิญเธอมา เธอก็คงไม่ตายสยองอย่างนี้หรอก ครูติ๊กจำได้แม่น เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ได้คุยกันเสมอ

ดิฉันฟังแล้วทั้งกลัวทั้งสงสาร มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เราเห็นแสดงว่าเธอยังห่วงลูกของเธออย่างมาก จิตใจเธอผูกพันกับการมาคอยรับลูกอยู่เสมอ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ… เธอจะรู้ไหมนะว่าลูกเธอได้เข้าโรงเรียนมัธยมแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2

ดิฉันกับครูติ๊กเป็นไข้สูงกันทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น และจากนั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลย ห้าโมงปุ๊บปิดหนังสือ บอกเด็กๆ กลับบ้านทันที และอย่างเคร่งครัดเชียวล่ะค่ะ!

ที่มา : thenightshock

แสดงความคิดเห็น

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.