ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนในโลกที่ทุกคน ต้องวิ่งให้เร็วกว่าเข็มนาฬิกา ความเครียดจากการงาน ปัญหาครอบครัว สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารพันปัญหา คอยบั่นทอนสุขภาพร่างกายให้ถดถอยลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา โดยที่เราเองก็ไม่เคยหันมาใส่ใจสุขภาพ ดูแลอาหารการกิน ออกกำลังกาย หรือผ่อนคลายความตึงเครียด ด้วยเหตุดังกล่าวจึงส่งผลให้โรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคความดัน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และสารพัดโรคร้ายที่เกิดจากการใช้ชีวิตที่ขาดความสมดุลเดินทางมาเยี่ยมเยือน แน่นอนว่าทางออกที่ดีที่สุดคือ การหันมาใส่ใจสุขภาพ ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหมั่นออกกำลังกายนั่นเอง
กระนั้นก็ดี นอกจากวิธีข้างต้นแล้วการจะช่วยฟื้นฟูร่างกายที่เสื่อมโทรมมานาน ให้กลับมามีสุขภาพดีได้นั้นยังมีทางเลือกอื่นอีก “เห็ดหลินจือ” ถือเป็นตัวช่วยอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ทำให้เราได้สุขภาพที่ดีดังใจ ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึง “เห็ดหลินจือ” เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกันบ้างอยู่แล้ว โดยในสมัยโบราณมีการนำเห็ดหลินจือมาใช้ประโยชน์นานกว่า 2,000 ปี เนื่องจากถือว่าเป็นสมุนไพรชั้นสูงที่หายากต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปเสาะแสวงหา ให้ได้มาซึ่งสรรพคุณทางยาที่สุดวิเศษ ในทางพฤกษศาสตร์พบว่า เห็ดหลินจือ แบ่งประเภทตามลักษณะของสีและรูปร่างได้ 6 ชนิดด้วยกัน คือ หลินจือแดง ดำ เหลือง ขาว เขียว และม่วง ทว่า จากการศึกษาวิจัยพบ เห็ดหลินจือแดงมีสารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมาก ที่สุด โดยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับ “โสม” ที่เป็นยาอายุวัฒนะ ยืดอายุให้ยืนยาว
สำหรับคุณสมบัติอันโดดเด่นของ เห็ดหลินจือแดง ก็คือ ช่วย สร้างภูมิต้านทานโรค กำจัดสารพิษในร่างกาย กระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความชรา บำรุงร่างกายเมื่ออ่อนเพลียหรือขณะพักฟื้นให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งช่วยควบคุมระบบไหลเวียนโลหิตให้ไหลเวียนสะดวกมากขึ้น หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า สรรพคุณในการป้องกันและบำบัดโรคภัยต่างๆ ที่กล่าวมามากมายเป็นภูเขาเลากานี้เป็นการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงหรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่”
ความมหัศจรรย์ของเห็ดหลินจือแดงนั้นได้ รับการยอมรับในวงการแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก โดยมีหลักฐานรายงานการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ในเห็ดหลินจือแดงมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายกว่า 250 ชนิด ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้ ทำงานประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุลเพิ่มพลังในการป้องกันและบำบัดโรค คืนพลังการฟื้นฟูร่างกายที่ธรรมชาติเคยมอบให้กับมนุษย์
หากจะอธิบายให้เข้าใจยิ่งขึ้น ก็ต้องบอกว่า เห็ดหลินจือแดง สามารถฟื้นฟูอาการป่วยได้หลายโรค ซึ่งในเชิงเภสัชวิทยา เห็ดหลินจือแดงออกฤทธิ์ต่อ 5 ระบบ คือ
1.ระบบภูมิต้านทาน มีการศึกษาพบว่าในเห็ดหลินจือแดงมีสารโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยยืดเวลาเสื่อมของเซลล์ นอกจากนี้มีผลในการเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาวในการจัดการกับไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และเซลล์ก่อมะเร็ง ดังนั้นจึงช่วยให้ร่างกายสามารถจัดการกับอาการผิดปกติต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีผลดีต่อผู้เป็นภูมิแพ้ เบาหวานที่แผลหายยาก เป็นหวัดเจ็บคอบ่อย ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง
2.ระบบหลอดเลือด เห็ดหลินจือแดง มีผลต่อช่วยขยายหลอดเลือด ลดการทำลายของสารอนุมูลอิสระที่ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว มีผลช่วยลดการเกาะตัวของไขมัน คอเลสเตอรอล หรือเกล็ดเลือดในหลอดเลือด ส่งผลให้ช่วยชะลอความแก่ไม่เพียงแต่ผิวพรรณเต่งตึงเท่านั้น แต่ชะลอการเสื่อมสภาพของอวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต เป็นต้น โดยเฉพาะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างจากสารสำคัญที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือแดง เช่น Sterols, Ganoderic Acid ที่มีอยู่เฉพาะในเห็ดหลินจือแดงเท่านั้น
3.ระบบประสาท เห็ดหลินจือแดงจัดเป็นสารปรับสมดุล ซึ่งหมายถึงสารที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสภาพปกติจากสิ่งต่างๆ โดยสามารถลดความตึงเครียดในสมอง ช่วยให้ระบบหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองทำงานดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองสูงถึง 1.5 เท่า
4.ระบบต่อมไร้ท่อ ไม่ ว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์ ต่อมไทมัส ต่อมหมวกไต ต่อมลูกหมาก และที่มองข้ามไม่ได้ คือ ตับอ่อนที่หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน พบว่าเห็ดหลินจือแดงมีสารสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ เกิดความสมดุล เช่น ผู้เป็นเบาหวานเมื่อรับประทานเห็ดหลินจือแดงจะมีสภาวะของร่างกายดีขึ้น ลดอัตราความรุนแรงของสภาวะขึ้นๆ ลงๆ ของน้ำตาล เป็นต้น ที่สำคัญเห็ดหลินจือแดงมีสารที่ช่วยให้ต่อมใต้สมองหลั่งโกรท ฮอร์โมน (Growth Hormone) ในขณะที่หลับ ช่วยเร่งการเจริญเติบโตในเด็กและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในผู้ใหญ่ หรือฟื้นความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่เราได้ และสุดท้าย
5.ระบบเผาผลาญอาหาร หากร่างกายขาดความสมดุลนำไปสู่ความผิดปกติในหลายระบบของร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น อาจเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญอาหารเห็ดหลินจือแดงยังมีสารที่จะเข้าไปช่วย ให้ระบบเผาผลาญดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อทุกระบบในร่างกาย
ที่มา : women.mthai