“เดิมทีจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการเลี้ยงผึ้งชันโรงอยู่กระจัดกระจาย มีตลาดส่งออกหลักไปยังมาเลเซีย คิดเป็นมูลค่า 2 ล้านบาท/ปี ทั้งในรูปแบบรังพร้อมเลี้ยงชันโรง คิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ และผลิตภัณฑ์จากผึ้งชันโรง แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2565 ทำให้ส่งออกไปมาเลเซียไม่ได้ และยังถูกซ้ำเติมจากแรงงานคืนถิ่นที่ไม่มีอาชีพตามมา”
ผศ.ดร.อิสมะแอ เจ๊ะหลง คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา หัวหน้าชุดโครงการวิจัย “โครงการการพัฒนาศักยภาพและยกระดับห่วงโซ่มูลค่าของเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงและวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรงจังหวัดยะลาและนราธิวาส” ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) บอกถึงตลาดของผึ้งชันโรงในชายแดนใต้
มรภ.ยะลาจึงจับมือสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา และพหุภาคีเครือข่าย ช่วยชุมชนเกษตรกรรอดพ้นจากภัยโควิด ด้วยชุดความรู้จากงานวิจัย พัฒนาศักยภาพและยกระดับห่วงโซ่มูลค่าของเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงและวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรงจังหวัดยะลาและนราธิวาส สร้างรายได้ให้ครัวเรือนและชุมชนจากผลผลิตผึ้งชันโรงเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ น้ำผึ้งชันโรง คือ น้ำผึ้งที่ถูกผลิตขึ้นมาจากผึ้งจิ๋ว (Stingless Bee) น้ำผึ้งชันโรงจะมีสารของฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ต้านเชื้อโรค ยับยั้งการเติบโตของเชื้อราและจุลินทรีย์ได้ รวมไปถึงยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ทำให้น้ำผึ้งชันโรงอาจจะมีราคาแพงมากกว่าน้ำผึ้งทั่ว ๆ ไป คุณลักษณะทั่วไปของน้ำผึ้งชันโรง จะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้งปกติถึง 2 เท่า มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไปหลายเท่า ซึ่งเกิดจากกระบวนการหมักทางธรรมชาติ รสชาติจะต่างตามชนิดสายพันธุ์และชนิดดอกไม้ที่เป็นแหล่งอาหาร ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเลี้ยง คือ พันธุ์อิตาม่า (สายพันธุ์ใหญ่) ซึ่งจะให้ผลผลิตน้ำผึ้งในปริมาณที่สูงกว่าพันธุ์ขนเงิน (พันธุ์เล็ก)
ผศ.ดร.อิสมะแอ เปิดเผยถึงที่มาของโครงการนี้ว่า เกิดขึ้นเพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2565 โดยใช้องค์ความรู้จากงานวิจัย เป็นรากฐานการพัฒนาศักยภาพ ยกระดับห่วงโซ่มูลค่าของเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรง และวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งชันโรง นำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจชุมชน และเศรษฐกิจฐานราก
คณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ได้บูรณาการความรู้ในลักษณะสหวิทยาครอบคลุมทั้งเกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และการบริหารจัดการการตลาด ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้(ศอ.บต.) สภาเกษตรจังหวัด และเกษตรจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัด (ศวพ.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรง วิสาหกิจชุมชนด้านผึ้งชันโรง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยการขับเคลื่อนกลไกการสร้างเศรษฐกิจฐานรากรองรับการเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหาความยากจน นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
“ชุดความรู้จากงานวิจัยที่ถ่ายทอดแก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรงประกอบไปด้วย การพัฒนายกระดับเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรง ให้มีนวัตกรรมการทำรังสำหรับเลี้ยงผึ้งชันโรง ให้ได้ผลผลิตน้ำผึ้งชันโรงที่มีความสมบูรณ์ มีนวัตกรรมในการขยายรังผึ้งชันโรง มีทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ มีขีดความสามารถในการพัฒนาต่อยอดน้ำผึ้งชันโรง ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการการตลาดได้เอง แทนที่พึ่งพาเฉพาะตลาดมาเลเซียที่เคยผ่านมา และจากการเปิดประเทศให้ความสะดวกทางด่านพรมแดนต่างๆ ที่ติดกับมาเลย์ โดยเฉพาะทางด่านเบตง เป็นตลาดหลักของน้ำผึ้งชันโรงที่รองรับลูกค้าจากมาเลย์”
ในการเลี้ยงน้ำผึ้งชันโรงยังได้พบน้ำผึ้ง สีม่วงดำ สีเขียว และสีเหลืองปกติ สีสันแตกต่างกันตามที่ผึ้งได้กินพืชแต่ละชนิดในพื้นที่ ส่วนตัวผึ้งชันโรงมีทั้งจากธรรมชาติและการแยกขยายให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น
นายรุสดี ยะหะแม ประธานวิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา หนึ่งในพื้นที่เป้าหมายในการขับเคลื่อนงานวิจัยผึ้งชันโรงในครั้งนี้ กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง มีสมาชิกประมาณ 50 คน จากชาวชุมชน กลุ่มทายาทเกษตรกรคนรุ่นใหม่บ้านบือมัง บัณฑิตคืนถิ่น ที่มีความคิดก้าวหน้า ได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรในพื้นที่ควบคู่กับการอนุรักษ์ป่า โดยจัดทำโครงการธนาคารต้นไม้ ปลูกต้นไม้เศรษฐกิจมีค่า ได้แก่ ตะเคียนทอง พยุง ฯลฯ ในพื้นที่บ้านบือมัง แต่การปลูกตันไม้ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน 10-20 ปี จึงจะสามารถสร้างรายได้
“จึงทำให้เกิดข้อคำถามถึงแหล่งที่มาของรายได้ระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากต้นไม้เศรษฐกิจมีค่า เราพบว่า การเลี้ยงผึ้งชันโรงเพื่อเก็บน้ำผึ้งชันโรงขาย รวมทั้งนำผลพลอยได้จากผึ้งชันโรงไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย คือคำตอบ เพราะผึ้งชันโรง ซึ่งเลี้ยงอยู่ในป่าไม้เศรษฐกิจ สามารถเก็บน้ำผึ้งชันโรงจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี
ในเบื้องต้นชาวบ้าน 11 คนรวมตัวกันตั้งเป็น กลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงบ้านบือมัง (Kelulut Bukit Bumae) โดยเลี้ยงผึ้งชันโรงเพียง 2 รัง แล้วขยายเพิ่มถึง 30 เท่า เป็น 60 รัง ภายในเวลาเพียง 3 เดือน เนื่องจากผลผลิตจากผึ้งชันโรงสร้างรายได้ที่ดีมาก ทุกวันนี้กลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรงบ้านบือมัง ที่พัฒนาต่อยอดมาจากโครงการธนาคารต้นไม้ ได้ยกระดับขึ้นเป็น ”ศูนย์เรียนรู้ธุรกิจชุมชนผึ้งชันโรง” ภายใต้แนวคิด ”แมลงจิ๋ว สร้างชุมชน” พร้อมกันนี้ได้วางแผนผลิตกล่องถาดน้ำหวานออกจำหน่าย เพิ่มเติมจากผลผลิตน้ำผึ้งชันโรง รวมทั้ง สบู่ ลูกอม เพราะในห่วงโซ่ไม่ได้ขายน้ำผึ้งอย่างเดียว สมาชิกในกลุ่มบางคน เตรียมผันตัวเองมายึดอาชีพเลี้ยงผึ้งชันโรงเป็นอาชีพหลัก และเตรียมต่อยอดไปทำสวนทุเรียน โดยใช้ผึ้งชันโรงช่วยผสมเกสร เพิ่มผลผลิตทุเรียน”
โดยภาพรวมผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยนี้ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ที่มั่นคง ทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งชันโรง มีรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตผึ้งชันโรงจำนวนไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมาจากการจำหน่ายน้ำผึ้งชันโรง เพิ่มร้อยละ 10.26-13.79 ด้วยราคารับซื้อที่ 700-750 บาทต่อ 1 กิโลกรัม และนำมาขายในราคา 1,000-1,200 บาทต่อ 1 กิโลกรัม การผลิตรังผึ้งชันโรง พร้อมเลี้ยง จำหน่ายใน ราคา 3,000-4,000 บาท/รัง
โดยพื้นที่วิจัยภายใต้โครงการข้างต้น มีอยู่ด้วยกัน 5แห่งได้แก่ วิสาหกิจชุมชน/กลุ่มผู้เลี้ยงชันโรง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส วิสาหกิจชุมชนกลุ่มชันโรงบ้านไพรวัน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส วิสาหกิจชุมชนบัยตุลมานบ้านเจาะตูแน อำเภอยะหา จังหวัดยะลา วิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้บือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา และกลุ่มครัวเรือนตกเกณฑ์ จปฐ อำเภอกรงปีนัง จังหวัดยะลา