ไม่ตรงปก พระครูปลัดวัย 32 ปี ใช้รูปขณะยังเป็นฆราวาสเล่นแอพพลิเคชั่นหาคู่เกย์ก่อนนัดพบกันที่ขอนแก่น แต่ อีกฝ่ายปฏิเสธโดนลากขึ้นรถ ก่อนตัดสินใจหักพวงมาลัยจนพุ่งชนฟุตบาทกลางถนนบาดเจ็บ
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 27 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโลกโซเชียลมีเดียและเพจต่างๆ ทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น ได้เผยแพร่ภาพรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน ขน- 6928 ขอนแก่น ขับมาประสบอุบัติเหตุชนเกาะกลางถนน ถนนศรีจันทร์ หน้าโรงพยาบาลขอนแก่นราม ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น สภาพรถล้อหน้าข้างซ้ายถูกกระแทกจนขาด คาดว่าชนกับขอบฟุตบาท และมีผู้บาดเจ็บหนึ่งรายเป็นพระสงฆ์ ทราบชื่อตามบัตรประชาชนคือ พระครูปลัดนรินทร์ กิตฺติภทฺโท อายุ 32 ปี ที่อยู่ 127 หมู่ 17 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น พร้อมข้อความระบุว่า
“จากเหตุเมื่อวานกำลังตรวจสอบทั้งหมดเบื้องต้นค้นกุฎิเช้านี้พบยาไอซ์พร้อมอุปกรณ์ 11.17 น. 26 มี.ค.2567 มีอุบัติเหตุรถยนต์ชนเกาะกลาง จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณถนนศรีจันทร์ หน้าโรงพยาบาล ขอนแก่นราม มีผู้บาดเจ็บ ส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนจุดเกิดเหตุในเวลานี้ (คาดการณ์ว่าทรัพย์สินทางราชการน่าจะเสียหาย) นัดกันผ่านแอปหาคู่เกย์ น้องมาจากนครพนม พอมาถึงไม่ตรงปก เลยจะไม่ โยโย่ เยเย้ กัน พระเลยขืนใจ จับขึ้นรถ น้องเลยตัดสินใจ หักพวงมาลัย
เหตุเกิดแถว รพ.ขอนแก่นราม คนขับรถคือพระ!! น้องเกย์น้อยมาแต่นครพนม เล่นแอปหาคู่ นัดเจอที่โรงแรม แต่พระเอาโปรไฟล์ตอนยังไม่บวชคุย พอถึงโรงแรมแล้วไม่ตรงปก น้องเกย์น้อยเลยปฏิเสธไม่เอา แต่พระไม่ยอมจะเอาให้ได้ เลยลากน้องเกย์ น้อยขึ้นรถมา น้องคงกลัวมาก เลยตัดสินใจหักพวงมาลัยใส่ที่กั้นถนน รถเลยเสียหลักชนที่กั้นยางแตก โชคดีที่มีพลเมืองดี เห็นเหตุการณ์ ได้เข้าไปช่วยและแจ้งตำรวจเป็นที่เรียบร้อย พระคือฉุดน้องมาจาโรงแรม น่ากลัวมาก ระวังกันแน่เด้อ ไม่ทราบพระวัดไหน มีภาพแค่นี้ขอบคุณพลเมืองดีเคสพระ เบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุรถชนมีการทะเลาะวิวาทที่โรงแรมก่อนนะครับ ตอนนี้โรงแรมกำลังจะแจ้งความเนื่องจากคาดว่ามีการเสพยาภายในโรงแรม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบ“
ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยพบว่า คณะสงฆ์อำเภอมัญจาคีรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กำลัง อส.ฝ่ายปกครองอ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจสอบภายในกุฏิของพระครูปลัดนรินทร์ ผู้บาดเจ็บ และเป็นคนขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ดังกล่าว ภายในวัดสระทอง อ.มัญจาคีรี ซึ่งจากการตรวจค้นกุฏิพบอุปกรณ์การเสพยาไอซ์ พร้อมยาไอซ์จำนวนหนึ่ง และถุงซิปล็อกขนาดเล็กจำนวนหลายถุงภายในลิ้นชักในกุฎิพระนรินทร์ โดยมีเจ้าอาวาส คณะกรรมการวัด ลูกศิษย์วัด และชาวบ้านในพื้นที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการตรวจค้นกุฏิวันนี้และพบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดดังกล่าว
พระครูวิสุทธิธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์และรองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่าคณะสงฆ์ทราบจากทางสื่อโซเชียลมีเดีย ว่าพระนรินทร์ขับรถคันดังกล่าว ซึ่งเป็นพระในสังกัดวัดสระทอง บ้านบัว ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี เกิดอุบัติเหตุอยู่ในเมืองขอนแก่น โดยในรถพบว่ามีสิ่งผิดกฎหมายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอยู่ในรถด้วย ทางคณะสงฆ์จึงได้มีการตรวจสอบกรณีดังกล่าวขึ้น พร้อมทั้งได้สั่งการไปยังเจ้าคณะอำเภอมัญจาคีรี เจ้าคณะตำบล ตำรวจพระ และประสานฝ่ายปกครองในพื้นที่ ขอเข้าตรวจค้นภายในกุฎิพระนรินทร์ ที่วัดสระทอง ซึ่งก็พบอุปกรณ์การเสพยาเสพติด แต่ไม่พบยาเสพติด ภายหลังการตรวจสอบทางคณะสงฆ์ได้มีการประชุม และมีมติให้พระนรินทร์ต้องทำการลาสิกขาภายหลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และแพทย์สามารถให้กลับได้ โดยภายหลังจากการลาสิกขาก็จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายของทางโลก โดยทางคณะสงฆ์ได้แจ้งให้กับทางพระนรินทร์ได้ทราบในเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว โดยพระนรินทร์ก็ยอมรับและจะทำการลาสิกขาให้หลังจากที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเสร็จ
“กรณีของพระนรินทร์ มีการเข้ากลุ่มเพื่อนัดพบตามที่ปรากฏในสื่อโซเชียลนั้น เบื้องต้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบซึ่งจะต้องรอให้ทางพระนรินทร์ ทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลให้เสร็จสิ้นก่อน ก็จะจะได้สอบถามรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง แต่ในเบื้องต้นนั้นทราบว่าภาพโปรไฟล์ที่พระนรินทร์ใช้เข้ากลุ่มในแอพแอพพลิเคชั่นนัดเจอกัน เป็นภาพขณะที่เป็นฆราวาส และพระอีกรูปที่นัดพบ ทราบจากโซเชียลเช่นกันว่ามาจากนครพนม ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย”
รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวนั้นแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธ แต่เจ้าหน้าที่ก็มีการพิสูจน์หาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ก็จะไม่สามารถปฏิเสธได้ และกรณีที่พระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ก็จะต้องทำการสึกเท่านั้น และจังหวัดขอนแก่นเอง ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศข้อห้ามชัดเจนโดยห้ามพระสงฆ์ขับรถอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีการประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2557 และหลังจากที่ทำการสึกไปแล้วพระนรินทร์ก็จะไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้เนื่องจากในช่วงที่เป็นพระมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและหากตรวจสอบพบว่ามีความผิดในเรื่องของการเสพเมถุนร่วมด้วย ก็จะเป็นการผิดวินัยส่งร้ายแรง ทางคณะสงฆ์ก็จะมีการสลักหน้าใบสุทธิด้วยว่าให้ศึกด้วยสาเหตุใด และปัจจุบันการตรวจสอบประวัติของพระสงฆ์ก็สามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้นว่าใครทำผิดคดีอาญาอะไรบ้าง