หมอขอนแก่นเผย รพ.รายรับต่ำกว่ารายจ่าย นานกว่า 4 ปี เหตุเพราะเบิก สปสช.และสิทธิ์บัตรทอง ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย

หมอขอนแก่นเผย รพ.รายรับต่ำกว่ารายจ่าย นานกว่า 4 ปี เหตุเพราะเบิก สปสช.และสิทธิ์บัตรทอง ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย แนะประชาชนมีกำลังช่วยจ่ายส่วนต่างด้วย เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 6 ก.ย.2567 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลมีเดียและเพจต่างๆทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น ได้เผยแพร่ข้อความ จาก ศ.นพ. สมศักดิ์ เทียมเก่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบประสาท รพ.ศรีนครินทร์ พร้อมข้อความระบุว่า “รพ.ศรีนครินทร์รายรับต่ำกว่าค่ารักษาที่เรียกเก็บเดือนละ 56 ล้าน เป็นมาแบบนี้ 4 ปีแล้วครับ รวมๆ ก็ 2,500 ล้าน แล้วเราก็คงจะมีปัญหาด้านรายรับต่ำกว่ารายจ่ายต่อไปอีกแบบนี้ ถ้า สปสช.และประกันสังคมยังมีแนวทางการทำงานแบบเดิมครับ”

ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. โดยพบกับ ศ.นพ. สมศักดิ์ เทียมเก่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบประสาท รพ.ศรีนครินทร์ เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ขอเรียกสถานการณ์นี้ว่า ผลต่างของรายจ่ายและรายรับที่เกิดขึ้น เพราะ รพ.ของรัฐไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อหวังผลกำไร ดังนั้นจะไม่มีคำว่าขาดทุน เมื่อรักษาคนไข้จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นทั้งหมด 1,000 บาท แต่เวลาที่เรียกเก็บจาก สปสช. จะเป็นตัวเลขอีกตัวเลขเนื่องจากว่าใน 1,000 บาท ที่รักษาไปจะมีบางส่วนซึ่งไม่อยู่ในสิ่งที่เบิกได้จาก สปสช. หลังจากรักษาคนไข้ทาง รพ. จะเรียกเก็บตามที่ สปสช. กำหนดไว้ จากนั้น สปสช.จะจ่ายตามค่ารักษาที่เกิดขึ้น ดังนั้นจะมี 3 ส่วน ค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจาก สปสช. และส่วนที่ สปสช.จ่ายให้ทาง รพ. ดังนั้นตัวเลขที่ รพ.เรียกเก็บกับตัวเลขที่ สปสช.จ่ายจะต่างกันเดือนละ 56 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 670 ล้านบาท

” ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้เป็นระยะเวลากว่า 4 ปี และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในทุก รพ. โดยเฉพาะ รพ.ขนาดใหญ่ที่มีผลต่างที่ได้รับเงินจาก สปสช. เป็นปัญหาเดียวกันทั่วประเทศ แต่ในโรงเรียนแพทย์กับ รพ.ศูนย์ ยิ่งมีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามารักษาคนไข้มากขึ้นรายการยาที่ใช้หรือเทคนิคต่างๆจะมีมากกว่า รพ.ขนาดเล็ก ดังนั้นค่าต้นทุนการรักษาโรคเดียวกันจะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ในความคิดเห็นส่วนตัวต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้ สปสช.อย่างเพียงพอ และต้องคำนึง งบประมาณค่าเหมาจ่ายรายหัวที่มีการคิดไว้ต้นปี แต่ความเป็นจริงค่าใช้จ่ายเหมาจ่ายรายหัวไม่เพียงพอ เมื่อไม่เพียงพอไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เพราะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมาต้นทุนในการรักษาพยาบาลสูงขึ้นในขณะเดียวกันงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวไม่ได้เพิ่มตามไปด้วย แต่ตัวเลขเหมาจ่ายรายหัวก็สูงขึ้นทุกปีจริงๆที่รัฐบาลให้มาแต่ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นจึงอยากให้รัฐบาลมีความเข้าใจตรงนี้มากขึ้น”

ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องการเรียกร้องหรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบคือการร่วมจ่ายที่เกิดขึ้นเพราะว่าเมื่อเงินจาก สปสช. ให้มาไม่เพียงพอควรต้องหางบประมาณส่วนอื่นเพิ่ม และหากประชาชนพอมีกำลังทรัพย์สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนเกินได้ก็ร่วมจ่ายจะทำให้ผลต่างลดน้อยลงไปด้วย ซึ่งอยากให้ประชาชนเกิดความเข้าใจว่าเรื่องงบประมาณที่ได้รับจากรัฐบาลยังต้องการเพิ่มเติมขึ้นมาอีกซึ่งถ้ารัฐไม่สามารถให้เพิ่มได้ประชาชนอาจจะต้องมีส่วนร่วมถ้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรการร่วมจ่ายสิทธิบัตรทองอย่าง 30 บาท ก็อาจจะช่วย รพ.ได้

“มีบางคนเสนอให้ปรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้มากขึ้นเพราะ 30 บาทเริ่มต้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเงินเฟื้ออาจจะปรับจาก 30 บาท ส่วนจะขึ้นเท่าไรเป็นเรื่องอนาคตแต่ต้องย้ำว่าคนสูงอายุ เด็ก คนพิการ และคนยากไร้ ที่ไม่มีกำลังทรัพย์ไม่ต้องจ่ายส่วนนี้แต่คนที่ไม่เดือดร้อนก็ช่วยกันตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้รายได้ของ รพ. มีเพียงพอในการที่จะมาใช้ในการบริหาร เพิ่มประสิทธิภาพของ รพ. ในการรักษาได้”