เปิดใจ “บิ๊กต้อม” วัฒนา ช่างเหลา ว่าที่ นายก อบจ.ขอนแก่น กับนโยบาย 9 ดีทำทันทีไม่มีวันหยุด กลายเป็นอีกสนามการเลือกตั้งที่สำคัญของประเทศไทย

วันที่ 3 พ.ย.ผ่านมาโดยได้รับความสนใจจากคอการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นอย่างมาก ที่มากไปกว่านั้นคือเป็นบิ๊กแมตช์ล้มช้างของจริง เมื่อ “บิ๊กต้อม” วัฒนา ช่างเหลา ประธานสโมสรฟุตบอลขอนแก่น ยูไนเต็ด และ อดีต ส.ส.ขอนแก่น ผู้สมัครหมายเลข 1 เอาชนะ “เสี่ยกวง”พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ อดีต นายก อบจ.ขอนแก่น 6 สมัยไปได้อย่างราบคราบ ด้วยการชูสโลแกนในการหาเสียงคือเลือกคนรุ่นใหม่ เลือกวัฒนา เพื่อพัฒนาขอนแก่น กับนโยบาย 9 ดีที่จับต้องได้โดยประกาศตัวอาสามาพัฒนาบ้านเกิด
นายวัฒนา ช่างเหลา หรือคนในวงการการเมืองและวงการฟุตบอลเรียกกันว่า “บิ๊กต้อม” สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์สาขาวิศวกรรมและการบริหารการก่อสร้าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยมีบทบาททางการเมือง การกีฬา และสังคม ที่โดดเด่น เริ่มจากตำแหน่ง รอง นายก อบจ.ขอนแก่น (2554-2562),ส.ส.ขอนแก่น เขต 2 (2562-2566),ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย (2566-2567) และประธานสโมสรฟุตบอลขอนแก่น ยูไนเต็ด (2558 จนถึงปัจจุบัน) เรียกได้ว่าบทบาทและตำแหน่งหน้าที่ในด้านต่างๆเป้นที่รู้จักและคุ้นชินกับคนขอนแก่นอย่างมาก จึงเป็นเครื่องพิสูจน์และการันตีได้ว่า “บิ๊กต้อม” ที่กล้าตัดสินใจประกาศต่อกรกับเจ้าพ่อวงการท้องถิ่นที่อยู่มานานกว่า 24 ปีและล้มช้างมาได้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
นายวัฒนา ช่างเหลา ว่าที่ นายก อบจ.ขอนแก่น กล่าวว่าเราทำงานเปนทีม มีระบบริหารจัดหาร หน้าบ้าน หลังบ้านและในบ้าน อย่างรัดกุม โดยรับฟังทุกเสียงสะท้อน ทุกปัญหาและทุกความต้องการ และด้วยการเป็นอดีตผู้แทนฯ,อดีต รอง นายก อบจ.ขอนแก่น ทำให้รู้ถึงปัญหาและความต้องการและบริบทในแต่ละพื้นที่ครอบคลุมทั้ง 26 อำเภอของ จ.ขอนแก่น อย่างมากจนกลายมาเป็นนโยบาย 9 ดีที่ใช้ในการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา เริ่มจากชีวิตดี ประปาใส ไฟสว่าง ทางดี มีเน๊ตใช้ทุกชุมชน ซึ่งก็คือน้ำประปาสะอาด ปลอดภัย ดื่มได้ ถนน อบจ.ขอนแก่น ไร้หลุม ส่งเสริมให้มีอินเตอร์เน็ต ทุกชุมชน สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ บขส.1 ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ต่อมาคือสังคมดี คือการนำ อบจ.ขอนแก่น สู่ยุคดิจิตอล ด้วยการแจ้งปัญหา ความเดือดร้อน ผ่านระบบมือถือ ขอนแก่น ปลอดภัย 24 ชั่วโมง ด้วยการติดตั้งกล้อวงจรปิด CCTV ทั้งจังหวัดช่วยลดปัญหาอาชญากรรม และการสนับสนุนนโยบายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านยาเสพติด
“ ขอนแก่นเมืองหลวงแห่งหมอลำ ด้วยการสนับสนุนให้หมอลำเป็นซอฟต์พาวเวอร์ การจัดเทศกาลงานหมอลำเฟสติวัล การส่งเสริม 26 อำเภอ 26 แหล่งท่องเที่ยว และการสนับสนุนกิจกรรมประเพณีทางวัฒนธรรม ตามด้วยชุมชนดี ด้วยการสนับสนุนงบประมาณ สร้างความเข้มแข็งในชุมชน ขับเคลื่อนการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านตำบลละ 1 ล้านบาท สนับสนุนงบประมาณ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ผ่านเทศบาลและ อบต.แห่งละ 2 ล้านบาท การศึกษาดี ส่งเสริมการศึกษาโรงเรียน 3 ภาษษ คือไทย จีน อังกฤษ การจัดให้มีรถรับ-ส่งลดภาระผู้ปกครอง การส่งเสริมการศึกษาสมัยใหม่ เพิ่มพื้นที่เรียนรู้นอกโรงเรียน สาธารณสุขดี ด้วยการ ยกระดับ รพ.สต.พรีเมี่ยมยกระดับการตรวจรักษาโรค ให้บริการครบวงจร เพิ่มทางเลือกในการรักษา ปรับปรุงสำนังกาน รพ.สต.รองรับการให้บริการประชาชน การจัดให้มีรถพยาบาลฉุกเฉินตลอด 24 ชม.ครอบคลุมทั้ง 26 อำเภอ”
นายวัฒนา กล่าวต่ออีกว่า เกษตรกรดี ด้วยการส่งเสริมตลาดกลางการค้า พฒนาระบบชลประทานระบท่อเพื่อการเกษตร สนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืช การสนับสนุนไฟฟ้าภาคการเกษตรให้ทั่วถึง กีฬาดี คือจากนี้ไปจะส่งเสริมกีฬา พัฒนาสู่อาชีพ โดยเฉพาะกับโครงการช้างเผือก การสร้างศูนย์กีฬาชุมชนทุกตำบล ปรับปรุงพื้นที่สนามกีฬา อบจ.ขอนแก่น ให้เหมาะสมกับคนทุกเพศ ทุกวัย และการเพิ่มเวทีจัดกิจกรรมให้เยาวชนในทุกช่วงอายุ สุดท้ายของเก้าดี คือสิ่งแวดล้อมดี คือจะต้องเริ่มจากการแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง ด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ การทำให้ขอนแก่นเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมดีค่าฝุ่น PM 2.5 ต่ำ ลดปัญหาการเผาไร่ และการเผาต่างๆ การแก้ปัญหาน้ำท่วมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
“นโยบาย9 ดี เป็นความตั้งใจจริงที่ผมและคณะทำงานได้ปวารนาตัวในการที่จะอาสามาพัฒนาพื้นที่ โดยจะทำทันที ทำทุกวัน ไม่มีวันหยุด และที่สำคัญคือการประสานงานร่วมกันทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาพจำเดิมๆที่หลายคนมองว่า อบจ.คืออะไร อบจ.ทำอะไรหรือมีผลอย่างไรให้กับคนขอนแก่นบ้าง จากนี้ไปต้องชัดเจน เข้าใจ เข้าถึงและร่วมกันพัฒนา ซึ่งผมพร้อมรับฟังทุกปัญหา พร้อมรับฟังทุกคำวิจารณ์ คำติชมและข้อเสนอแนะนำต่างๆ เพื่อนำไปสู่การทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว เราจะเดินหน้าไปด้วยกันแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างตรงจุดและตรงตามความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด”